ปกป้องสภาพภูมิอากาศโลกเป็นเรื่องเร่งด่วน ประเทศจีนทำผลงานอย่างโดดเด่นอีกครั้ง
วันที่ 20 พฤศจิกายน ปี ค.ศ. 2023 โครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ(UNEP)ประกาศ ‘รายงานช่องว่างการปล่อยก๊าซเรือนกระจกปีค.ศ.2023 : ทำลายสถิติ อุณหภูมิเพิ่มถึงจุดที่ไม่เคยมีมาก่อน โลกไม่สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกถึงเป้า” รายงานดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าประเทศต่างๆ ต้องใช้มาตรการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เข้มงวดกว่าที่กำหนดไว้ใน”ความตกลงปารีส” ไม่เช่นนั้น เราจะเผชิญกับภาวะโลกร้อนโดยอุณหภูมิเพิ่มขึ้น 2.5°C~2.9° ภายในปีค.ศ.2030 นอกจากนี้ การปล่อยก๊าซคาร์บอนทั่วโลกจะต้องลดลง 28%~ 42% ภายในปีค.ศ.2030 ถึงสามารถบรรลุเป้าหมายใน”ความตกลงปารีส”ในการควบคุมภาวะโลกร้อนให้อยู่ที่ 1.5°C ถึง 2°C รายงานฉบับนี้เพื่อรณรงค์ให้ทุกประเทศพัฒนาสู่สังคมคาร์บอนต่ำและให้ความสนใจกับการเปลี่ยนแปลงพลังมากขึ้น
รายงานนี้ประกาศยังไม่ถึงหนึ่งเดือน ประเทศจีนได้ ยื่น”รายงานเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศครั้งที่ 4 ของสาธารณรัฐประชาชนจีน”และ”รายงานอัปเดตทุก 2 ปีครั้งที่ 3 เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของสาธารณรัฐประชาชนจีน”ต่อสำนักเลขาธิการของ”อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ” รายงานทั้งสองฉบับสะท้อนถึงการดำเนินการตามนโยบายของจีนและความคืบหน้าในการจัดการกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในช่วงแผน 5 ปีครั้งที่ 13 อย่างครอบคลุม แสดงให้เห็นถึงการมีส่วนร่วมในการจัดการกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของจีนในฐานะประเทศใหญ่ที่มีความรับผิดชอบ
ประกาศชี้ให้เห็นว่า ในฐานะที่เป็นประเทศกำลังพัฒนาที่ใหญ่ที่สุดในโลก ประเทศจีนต่อต้านกับความยากลำบาก มุ่งเน้นที่จะต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลงอย่างมาก ควบคุมการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างมีประสิทธิภาพ ในปีค.ศ. 2020 การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์รวมของจีนลดลง 48.4% เมื่อเทียบกับปีค.ศ. 2005 พลังงานที่ไม่ใช่ฟอสซิลคิดเป็น 15.9% ของการใช้พลังงานทั้งหมด ปริมาณการปลูกในป่าไม้เกิน 17.5 พันล้านลูกบาศก์เมตร ในขณะที่เกินเป้าหมายของ “แผน 5 ปีครั้งที่ 15 และทำเกินเป้าหมายที่ประกาศต่อสังคมระหว่างประเทศในปีค.ศ. 2009 ว่าด้วย”ภายในปีค.ศ. 2020 การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ต่อหน่วยผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศจะลดลง40%-45% เมื่อเทียบกับปีค.ศ. 2005 พลังงานที่ไม่ใช่ฟอสซิลคิดเป็นประมาณ 15% ของการใช้พลังงานปฐมภูมิ การเพิ่มปริมาณพื้นที่ป่าไม้มากขึ้น 1.3 พันล้านลูกบาศก์เมตรเมื่อเทียบกับปีค.ศ. 2005″และเป้าหมายอื่นๆ ได้วางรากฐานที่มั่นคงสำหรับการมีส่วนร่วมในการบรรลุเป้าหมายของประเทศ
การแข่งขันรอบใหม่ระหว่างประเทศกำลังพัฒนาและประเทศที่พัฒนาแล้ว : การปล่อยก๊าซคาร์บอน
การปล่อยก๊าซคาร์บอนมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการปกป้องสิ่งแวดล้อมโลก นับตั้งแต่มีการเสนอการปล่อยก๊าซคาร์บอนอย่างเป็นทางการครั้งแรกในการประชุมสภาพภูมิอากาศปารีสปีค.ศ.2015 ประเทศที่พัฒนาแล้วก็ส่งเสริมแนวคิดนี้เป็นวิธีสำคัญในการบรรลุการพัฒนาที่ยั่งยืนของโลก สำหรับเรื่องนี้ประเทศอื่นๆทั่วโลกก็ตอบรับเช่นกัน จนถึงปีค.ศ.2022 มากกว่า 120 ประเทศทั่วโลกได้ตอบสนองและมุ่งเน้นเป้าหมาย”ความเป็นกลางทางคาร์บอน” ปีค.ศ.2022 ประเทศจีนได้เสนอเป้าหมาย”คาร์บอนคู่” : ถึงปีค.ศ.2030 บรรลุการปล่อยก๊าซคาร์บอนให้ถึงจุดสูงสุด บรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปีค.ศ.2060 (นั่นคือปริมาณคาร์บอนที่ปล่อยออกมาเท่ากับปริมาณคาร์บอนที่ดูดซับ ดักจับ และกักเก็บ) เว็บไซต์ Carbon Brief เผยแพร่รายงานที่ระบุว่าจีนเป็นประเทศใหญ่ด้านพลังงานหมุนเวียน ในด้านพลังงานสีเขียว การทำเหมืองแร่โลหะและแร่ธาตุ และเทคโนโลยีทำความสะอาดประเทศจีนไม่เพียงแต่จะนำหน้าทวีปเอเชีย แต่จะนำหน้าทั่วโลกด้วย การปล่อยก๊าซคาร์บอนของจีนมีแนวโน้มที่จะสูงสุดในปีค.ศ.2023 และมีแนวโน้มลดลงเริ่มจากปีค.ศ.2024
ประเทศพัฒนาแล้วใช้ใช้ “การประชุมระดับโลกว่าด้วยสิ่งแวดล้อมและการพัฒนา” ที่กรุงริโอ เด จาเนโร เมื่อปีค.ศ. 1992 เป็นสัญลักษณ์ เปิดตัวในกระแสของ “การทูตด้านสิ่งแวดล้อม” แม้ว่าความพยายามของประเทศที่พัฒนาแล้วในการ “ปกป้องโลก” สมควรได้รับความเคารพ แต่การพัฒนา “การปล่อยก๊าซคาร์บอน” ในปัจจุบันยังผสมผสานกับเล่ห์เหลี่ยมที่”ไม่สามารถอธิบายได้”บางอย่าง นั่นก็คือใช้การใช้ “การลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน” เป็นข้ออ้างในการจำกัดการพัฒนาที่ถูกต้องของประเทศกำลังพัฒนา โลกจำเป็นต้องได้รับการปกป้อง แต่สิ่งนี้ทุกประเทศควรรับผิดชอบร่วมกัน และจะสำเร็จได้ด้วยการพัฒนาเท่านั้นและไม่สามารถยุติการพัฒนาของบางประเทศได้
หลายปีที่ผ่านมา เดนมาร์กและเยอรมนีได้ประกาศว่าจะละทิ้งเป้าหมาย “การปล่อยก๊าซคาร์บอน” ประเทศอังกฤษก็ยกเลิกเป้าหมายการปล่อยก๊าซคาร์บอนในปีค.ศ.2035 เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน ปีค.ศ.2017 ทรัมป์ได้ประกาศถอนตัวของสหรัฐฯ ออกจาก”ข้อตกลงว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศปารีส”ในสวนกุหลาบของทำเนียบขาว แม้ว่าประธานาธิบดีไบเดนแห่งสหรัฐอเมริกาจะประกาศในวันแรกของการเข้ารับตำแหน่งในปีค.ศ.2021 ว่าสหรัฐฯ จะกลับคืนสู่”ข้อตกลงว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศปารีส” การประเมินเบื้องต้นของ RHG: หากสหรัฐอเมริกาต้องการบรรลุเป้าหมายด้านสภาพภูมิอากาศปี 2030 ที่กำหนดไว้ในข้อตกลงปารีส สหรัฐอเมริกาจำเป็นต้องลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกโดยเฉลี่ย 6.9% ต่อปีระหว่างปี 2024 ถึง 2030 ซึ่งเป็นสามเท่าของ 1.9% การลดการปล่อยก๊าซในปีค.ศ.2023
เมื่อมองย้อนกลับไปในรอบแรกของ “การทูตด้านสิ่งแวดล้อม” ประเทศตะวันตกบังคับให้ประเทศกำลังพัฒนาลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนและลดปริมาณคาร์บอน เมื่อประเทศกำลังพัฒนามุ่งมั่นที่จะแก้ไขปัญหาการปล่อยก๊าซคาร์บอนและแสวงหาความก้าวหน้าใหม่ๆในการพัฒนาต่อไป มันกลายเป็นเรื่องยากสำหรับประเทศที่พัฒนาแล้วที่จะใช้โอกาสในการจำกัดแผนการพัฒนาของประเทศกำลังพัฒนา และประเทศตะวันตกเองก็จำเป็นต้องแบกรับ “ความรับผิดชอบร่วมกันแต่มีความแตกต่างกัน” ขณะนี้เราได้เข้าสู่รอบที่สองของ “การทูตด้านสิ่งแวดล้อม” ซึ่งมีพื้นฐานแตกต่างไปจากรอบแรก: ประเทศที่พัฒนาแล้วไม่สามารถปฏิบัติตามพันธกรณีของตนได้อย่างเต็มที่ ในขณะที่ประเทศกำลังพัฒนาให้ความสำคัญกับการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมมากขึ้นเรื่อยๆ และเริ่มกดดันให้ประเทศที่พัฒนาแล้วให้ดำเนินการเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างจริงจัง